..ซื้อรถต่อรถคนอื่นโอนประกันอย่างไร…

เมื่อมีการซื้อขายรถยนต์ต่อจากเจ้าของเดิม เรื่องหนึ่งที่มักถูกละเลยแต่มีความสำคัญไม่แพ้การโอนทะเบียนรถที่กรมการขนส่งทางบก คือเรื่องของ “ประกันภัยรถยนต์” โดยเฉพาะในกรณีที่รถยนต์คันนั้นยังมีประกันภัยภาคสมัครใจ หรือประกันชั้นหนึ่ง ชั้นสอง หรือชั้นสาม ที่ยังมีอายุคุ้มครองอยู่ การโอนประกันมายังเจ้าของใหม่สามารถทำได้ และมีขั้นตอนที่ควรทำให้ครบถ้วนเพื่อให้เกิดความคุ้มครองต่อเนื่อง

การโอนประกันภัยรถยนต์ไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนชื่อในเอกสารเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการประสานงานระหว่างเจ้าของเดิม ผู้ซื้อ และบริษัทประกันภัยอย่างถูกต้อง เพื่อให้การโอนสิทธิ์ในกรมธรรม์มีผลทางกฎหมาย และสามารถใช้คุ้มครองได้อย่างสมบูรณ์ในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์อื่นใดในอนาคต

เริ่มต้นจากการตรวจสอบข้อมูลของประกันภัยที่ติดมากับรถยนต์ก่อน โดยผู้ซื้อควรขอสำเนากรมธรรม์จากเจ้าของเดิม หรือให้เจ้าของเดิมติดต่อบริษัทประกันภัยเพื่อยืนยันข้อมูลว่ากรมธรรม์ยังมีผลอยู่หรือไม่ และเป็นประกันภัยประเภทใด มีระยะเวลาความคุ้มครองถึงเมื่อใด มีผู้ขับขี่ระบุชื่อไว้หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบว่ากรมธรรม์นั้นเคยมีการเคลมหรือมีข้อพิพาทอะไรหรือไม่ การรู้ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ซื้อประเมินได้ว่าควรโอนกรมธรรม์เดิมหรือยกเลิกแล้วทำใหม่ในชื่อของตนเอง

เมื่อตกลงใจที่จะโอนประกัน ผู้ซื้อควรติดต่อบริษัทประกันภัยที่ออกกรมธรรม์โดยตรง อาจเป็นการโทรศัพท์ไปที่ศูนย์บริการลูกค้า หรือไปที่สาขาเพื่อขอคำแนะนำในการโอนกรรมสิทธิ์กรมธรรม์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทจะอธิบายขั้นตอนและจัดเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ เช่น แบบฟอร์มขอโอนประกัน หนังสือยินยอมจากเจ้าของเดิม และเอกสารแสดงการโอนกรรมสิทธิ์รถ เช่น สำเนาทะเบียนรถที่มีชื่อเจ้าของใหม่ หรือใบเสร็จรับเงินจากกรมการขนส่งทางบกที่แสดงว่ามีการเปลี่ยนเจ้าของอย่างเป็นทางการแล้ว

เจ้าของเดิมควรลงนามในหนังสือยินยอมให้โอนสิทธิ์ในกรมธรรม์ ซึ่งเป็นการแสดงความเต็มใจในการย้ายชื่อผู้เอาประกันจากตนเองไปยังเจ้าของใหม่ เอกสารนี้บางกรณีบริษัทประกันอาจขอให้ลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่หรือนายหน้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ผู้ซื้อควรเตรียมสำเนาบัตรประชาชนของตนเอง พร้อมกับสำเนาบัตรของเจ้าของเดิม เอกสารทะเบียนรถ และหนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามีการมอบให้ผู้อื่นไปดำเนินการแทน)

หลังจากส่งเอกสารครบถ้วน บริษัทประกันจะใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันในระบบ หากไม่มีปัญหา บริษัทจะออกเอกสารยืนยันการเปลี่ยนชื่อ หรือในบางกรณีอาจออกกรมธรรม์ฉบับใหม่โดยใช้ข้อมูลเดิม แต่เปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของรถคนใหม่ เอกสารนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่แจ้งโอนหรือวันถัดไป ขึ้นกับนโยบายของแต่ละบริษัท

ในระหว่างรอการเปลี่ยนชื่อ หากยังไม่มีการยืนยันจากบริษัทประกัน เจ้าของใหม่จะยังไม่สามารถใช้ความคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นประกันภัยระบุชื่อผู้ขับขี่ เพราะหากผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่บุคคลตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม จึงควรเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการโอนกรรมสิทธิ์รถ

เมื่อการโอนเสร็จสิ้น เจ้าของใหม่ควรเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อกรมธรรม์ สำเนากรมธรรม์ฉบับใหม่ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานรถ เช่น เปลี่ยนสถานที่จอดหลัก เปลี่ยนลักษณะการใช้รถจากส่วนบุคคลเป็นพาณิชย์ หรือเปลี่ยนผู้ขับขี่หลัก ก็ควรแจ้งให้บริษัทประกันทราบเพื่อให้ความคุ้มครองสอดคล้องกับการใช้งานจริง และป้องกันปัญหาในกรณีต้องเคลมในอนาคต

สุดท้าย หากบริษัทประกันเห็นว่าผู้เอาประกันคนใหม่มีความเสี่ยงแตกต่างจากเจ้าของเดิม เช่น อายุของผู้ขับขี่น้อยกว่า หรือมีประวัติการเคลมบ่อย อาจมีการเสนอปรับเบี้ยประกันตามความเสี่ยง หากไม่ตกลง เจ้าของใหม่สามารถเลือกยกเลิกกรมธรรม์เดิมแล้วไปทำประกันใหม่กับบริษัทใดก็ได้

การโอนประกันภัยรถยนต์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเอกสาร แต่เกี่ยวข้องกับความต่อเนื่องของสิทธิ์และความคุ้มครอง การดำเนินการให้ครบถ้วนจะช่วยให้เจ้าของใหม่สามารถใช้งานรถได้อย่างมั่นใจ และลดความยุ่งยากหากเกิดเหตุไม่คาดฝันในอนาคต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *