การดูแลรถยนต์เมื่อต้องจอดทิ้งไว้นานๆ
แม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายลงแล้ว และการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ก็ยังมีหลายคนที่จำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้นานๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากการทำงานแบบ Work from Home การเดินทางที่ลดลง หรือไม่มีความจำเป็นในการใช้รถบ่อยเหมือนที่ผ่านมา หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการไม่ใช้รถเลยจะช่วยถนอมสภาพรถให้คงทนมากขึ้น แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้นานๆ โดยไม่มีการดูแลเอาใจใส่ ย่อมเกิดความเสื่อมสภาพได้ไม่แพ้กับรถที่ถูกใช้งานหนัก และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้งานจริง อาจเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติด หรือชิ้นส่วนบางอย่างชำรุดจนไม่สามารถขับได้ ส่งผลให้ผู้ใช้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่หากเกิดขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน
การดูแลรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานนานๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะไม่ได้ใช้รถทุกวัน แต่ก็ควรรักษาสภาพให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเริ่มจากการเลือกที่จอดรถที่เหมาะสม หากรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน ควรหาที่จอดที่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดและฝนได้ เพราะแดดไม่เพียงแต่จะทำให้สีรถภายนอกซีดจาง แต่ยังส่งผลให้ภายในรถเกิดความร้อนสะสม ทำให้วัสดุที่เป็นพลาสติก ยาง หรือหนัง เช่น คอนโซล เบาะ และฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิดจากแสงแดดเมื่อเจอกับฝนที่ตกกระทันหัน อาจทำให้กระจกรถแตกร้าวได้ เนื่องจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการจอดรถใต้หลังคาหรือในที่ร่มจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากไม่สามารถหาที่จอดมีหลังคาได้ ก็ควรเลือกจอดในจุดที่มีร่มเงา หรือหลีกเลี่ยงการจอดตากแดดทั้งวันเท่าที่จะทำได้
แบตเตอรี่รถยนต์เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะหากปล่อยให้รถจอดทิ้งไว้โดยไม่สตาร์ทเลย แบตเตอรี่จะค่อยๆ เสื่อมประจุจนหมด และหากปล่อยไว้นานเกินไปอาจทำให้แบตเตอรี่เสียหายจนต้องเปลี่ยนใหม่ การดูแลที่ง่ายและได้ผลคือการสตาร์ทรถอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง แต่ละครั้งประมาณสิบถึงสิบห้านาที เพื่อให้ไดชาร์จในรถสามารถประจุไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ และช่วยให้เครื่องยนต์ได้ทำงานหมุนเวียนน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ถ้าเป็นไปได้ ควรสตาร์ททุกวันจะยิ่งดี เพื่อรักษาสภาพของระบบไฟฟ้า และยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น
ยางรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการจอดรถทิ้งไว้นานๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวจะทำให้ยางเกิดการเสียรูป และหากลมยางอ่อนมากหรือรั่วซึมจนยางแบน จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นเต็มพื้นที่ตลอดเวลา นำไปสู่ความเสียหายถาวร หรือไม่สามารถขับรถออกไปได้เลยเมื่อต้องใช้งานจริง ดังนั้นควรหมั่นตรวจสอบลมยางเป็นระยะ แม้เพียงการมองด้วยสายตาก็สามารถช่วยให้สังเกตได้ว่าลมยางลดลงหรือไม่ หากพบว่ายางเริ่มอ่อน ควรรีบนำไปเติมทันที เพื่อป้องกันไม่ให้แบนจนนำไปเติมไม่ได้ และเพื่อความมั่นใจควรเดินตรวจดูรอบรถเป็นประจำทุกครั้งหลังสตาร์ทรถ เพื่อให้มั่นใจว่ายางยังอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
ของเหลวในรถยนต์ เช่น น้ำในหม้อน้ำ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และน้ำมันพาวเวอร์ ก็เป็นส่วนที่ต้องให้ความสนใจ แม้จะไม่มีการขับขี่ แต่ของเหลวเหล่านี้อาจเกิดการระเหยหรือพร่องลงได้ในระยะเวลาหนึ่ง การตรวจเช็คของเหลวสามารถทำได้ง่ายด้วยตาเปล่า โดยเปิดฝากระโปรงรถแล้วสังเกตระดับของของเหลวแต่ละประเภท หากพบว่าพร่อง ควรเติมให้เต็มอยู่เสมอ โดยเฉพาะน้ำในหม้อน้ำและน้ำมันเบรกซึ่งสำคัญต่อระบบความปลอดภัย นอกจากนี้หากรถใช้แบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ก็ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ด้วย และควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หรือสองสัปดาห์ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบต่างๆ ของรถยังอยู่ในสภาพดี
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยคือความสะอาดของรถ แม้จะไม่ได้ใช้งาน แต่การปล่อยให้รถสกปรก ฝุ่นจับ หรือมีสิ่งสกปรกสะสมทั้งภายในและภายนอก อาจทำให้เกิดกลิ่นอับ ความชื้น หรือกลายเป็นแหล่งที่อยู่ของแมลงและหนู การทำความสะอาดรถจึงควรทำเป็นระยะ ไม่จำเป็นต้องบ่อยเท่ากับรถที่ใช้งานประจำวัน แต่ก็ควรมีการเช็ด ล้าง ดูดฝุ่น และเปิดประตูระบายอากาศบ้าง เพื่อรักษาสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ
แม้ว่าเราจะพ้นช่วงเวลาวิกฤตจากสถานการณ์โรคระบาดและการจำกัดการเดินทางแล้วก็ตาม แต่การดูแลรถยนต์ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นนิสัย เพราะรถยนต์คือทรัพย์สินที่มีมูลค่า และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น หากดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ ก็สามารถยืดอายุการใช้งานได้อีกหลายปี และที่สำคัญคือช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในยามคับขัน หวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ต้องดูแลรถ แม้จะไม่ได้ใช้งานทุกวันก็ตาม