รถสตาร์ทไม่ติด
ปัญหากวนใจที่เชื่อว่าหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นในการขับรถชั่วโมงเร่งด่วนคืออาการ รถสตาร์ทไม่ติด ที่มักจะมีสาเหตุอะไรที่ทำไมอยู่ดี ๆ ก็สตาร์ทไม่ติด
รถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากสาเหตุอะไร
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นหลายคนมักถามว่า “สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร” ซึ่งต้องบอกเลยว่าหลายคนหลายสาเหตุ และมีหลายปัจจัยที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด โดยอาการหลักๆที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ มีไฟติดปกติ แต่เงียบสนิท แบตไม่หมดบ้าง แบตเต็มบ้าง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เรามาดูสาเหตุกันเลย
1. แบตเตอรี่เสื่อม
โดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุประมาณ 2 ปี ดังนั้นหากรถของคุณใช้งานแบตเตอรี่มามากกว่า 2 ปี ก็เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อม เนื่องจากใช้งานมาจานก็ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา สาเหตุนี้มักจะพบอาการ สตาร์ทไม่ติดตอนเช้า หรืออาจจะมีในช่วงระหว่างวันตามระดับการเสื่อมของแบตเตอรี่ หากจอดรถทิ้งไว้นานเกิน 8 ชั่วโมง จะพบอาการสตาร์ทไม่ติด
หากท่านเจออาการนี้แนะนำให้พ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่นก่อน หากพ่วงแล้วสตาร์ทติดง่าย หรือสตาร์ทติดในทันที ก็เป็นสัญญาณที่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย แต่หากพ่วงแล้วหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้ว ยังสตาร์ทไม่ติด ก็น่าจะเป็นจากสาเหตุอื่นให้นำรถเช็กอาการต่อไป
อ่านเพิ่มเติม : 10 เหตุผลทำไม แบตเตอรี่เสื่อม หรือหมดอายุการใช้งานก่อนกำหนด
2. ไดสตาร์ทเสีย
หากสตาร์รถแล้วยังคงไม่ติด จะลองพ่วงแบตเตอรี่หรือนำแบตเตอรี่ลูกใหม่ เปลี่ยนก็คงเป็นอาการเดิม ให้ลองสังเกตที่แผงหน้าปัดยังคงมีไฟติด สตาร์ทแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ หรือไม่ติดเลย ให้สันนิษฐานก่อนได้ว่า ไดสตาร์ทน่าจะมีปัญหา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากฟิวส์ไดสตาร์ทขาด สายไฟฟ้าที่ต่อไปยังไดสตาร์ทหลุด หรือ แปรงถ่านที่อยู่ในไดสตาร์ทหมด เป็นต้น
3. ไดชาร์จเสื่อม
อาการค่อนข้างคล้ายกับแบตเตอรี่ แต่จะแตกต่างตรงที่ หากติดเครื่องยนต์อยู่ จะดับเองในขณะที่ใช้รอบต่ำ หรือช่วงที่ระกำลังเคลื่อนที่อยู่ อาจดับไปกลางอากาศ โดยสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นโดยการพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่น หลังจากสตาร์ทรถติดให้ทิ้งไว้สักพัก แล้วค่อยถอดขั้วแบตเตอรี่ออกข้างหนึ่ง ถ้ารถดับทันที หรือ กระตุก มีอาการไฟตก แสดงว่า ไดชาร์จเสื่อม แน่นอน
4. ระบบไฟฟ้ามีปัญหา
สาเหตุที่ รถสตาร์ทไม่ติด บางครั้งเกิดจากระบบไฟฟ้ารถมีปัญหาแต่ก็เกิดยากสักหน่อย แต่ก็พอเป็นไปได้ สังเกตได้ง่ายจากการบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่ขึ้นโชว์ อาการนี้อาจเกิดได้ในกรณีที่จอดรถทิ้งไว้นาน จนหนูเข้ามากัดสายไฟขาด
หรือมาจากการที่ลืมปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟหน้า ไฟในรถ หรือไฟส่วนอื่น ส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์มีปัญหาได้ การแก้ไขเบื้องต้นจากการลองพ่วงแบตเตอรี่ ถ้าไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ก็ชัดเจนว่าเป็นกรณีที่พร้อมเรียกรถลากเข้าซ่อมได้เลย
5. น้ำมันหมด
อาการนี้เป็นไปได้สำหรับผู้ที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าน้ำมันในรถใกล้หมดแล้วหรือยัง หรือเป็นผู้ที่ชอบรอให้ขึ้นขีดแดงก่อนแล้วค่อยเติม บางครั้งการสตาร์ทรถครั้งต่อไปอาจมีน้ำมันไม่เพียงพอให้สตาร์ทติดก็ได้ แต่ถ้าจำเป็นจริงก็ลองเข็นรถไปพื้นที่ราบ ไม่ลาดเอียง จากนั้นลองสตาร์ทดู ถ้ายังสตาร์ทไม่ติดต้องรีบเติมปั้มน้ำมันได้เลย
6. ปั๊มติ๊กเสีย
อีกสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ถูกส่งมาห้องเผาไหม้เพื่อจุดระเบิด ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสีย เช่นการปล่อยน้ำมันเชื้อเพลิงในถังเหลือน้อย มีไฟเตือนน้ำมันโชว์อยู่เป็นประจำ เพราะเวลาที่ไฟเตือนระดับน้ำมันโชว์นั้น แปลว่าน้ำมันในถังเชื้อเพลิงเหลือน้อย น้ำมันที่ไหลผ่านปั๊มติ๊กจะช่วยให้ปั๊มติ๊กไม่ร้อนและมีการหล่อลื่น
เมื่อมีน้อยยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำลงไป ประกับกับไม่มีน้ำมันมาห่อหุ้มเพื่อระบายความร้อนและหล่อลื่น ปั๊มติ๊กทำงานอยู่ตลอดเวลาที่เครื่องติด มันก็ดูดน้ำมันบ้าง อากาศบ้าง แถมน้ำมันที่อยู่รอบตัวมันก็น้อย การระบายความร้อนจากตัวมอเตอร์ที่ทำงานตลอดก็ระบายไม่ได้ สุดท้ายมอเตอร์ก็เสียแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม : ขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ คราบขี้เกลือขึ้น ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด หรือ รถสตาร์ทติดยาก
ทั้งนี้อาการ รถสตาร์ทไม่ติด อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์อยู่เสมอ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่ต้องมีการเติมน้ำกลั่นอยู่เป็นระยะ ๆ อย่าปล่อยให้น้ำแห้งเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไว และยังทำให้รถสตาร์ทไม่ติดแน่นอน นอกจากนี้ควรเลือก ทำบริษัทประกันภัย ที่มีบริการฉุกเฉินที่จะช่วยให้ทุกคนอุ่นใจได้ว่าจะมีผู้ช่วยมาดูแลในยามที่คุณเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา
Pingback: ขับรถลุยน้ำ แล้วรถดับ สตาร์ทไม่ติดประกันจ่ายไหม ให้ความคุ้มครองอย่างไร