การโอนรถยนต์ การโอนลอย คืออะไร ใช้เอกสารหลักฐานอะไรบ้าง
รถยนต์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงชนิดหนึ่ง โดยมีราคาได้ตั้งแต่หลักหลายแสนไปจนถึงสิบล้าน การซื้อขายรถยนต์ ระหว่างผู้ใช้รถด้วยกันอาจนำมาซึ่งปัญหาการทุจริตต่างๆ ได้ เช่น ผู้ซื้อจ่ายเงินแล้วแต่ผู้ขายไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้เป็นของผู้ซื้อ ซึ่งในจุดนี้กรมการขนส่งทางบกจึงเข้ามามีบทบาทเป็นคนกลางในการซื้อขายรถยนต์เพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ โดยเมื่อมีการซื้อขายรถยนต์จะต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์รถจากผู้ขายไปสู่ผู้ซื้อ ซึ่งต้องดำเนินการที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น โดยทั่วไปการโอนกรรมสิทธิ์รถจะต้องใช้เอกสารดังต่อไปนี้
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
- สำเนาบัตรประชาชน หรือกรณีเป็นนิติบุคคลจะต้องใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำเนาบัตรประชาชนของกรรมการที่มีอำนาจลงนาม
- สัญญาซื้อขาย ใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษี
- กรณีเป็นการรับโอนมรดก จะต้องใช้สำเนาใบมรณะบัตรของเจ้าของรถเดิม และพินัยกรรมหรือคำสั่งศาล
- แบบคำขอโอนและรับโอน ซึ่งมีรายละเอียดรายการของผู้โอนและผู้รับโอน (ต้องมีการลงลายมือเรียบร้อยแล้ว)
- หนังสือมอบอำนาจ กรณีผู้มีอำนาจมิได้มาดำเนินการโอนหรือรับโอนด้วยตนเอง
โดยมีขั้นตอนการโอนคือ
- นำรถเข้าตรวจสอบสภาพที่งานตรวจสภาพรถยนต์ (ของกรมการขนส่งเท่านั้น)
- ยื่นเรื่องโอนพร้อมชำระค่าธรรมเนียม ที่งานทะเบียนรถ
- รับใบคู่มือจดทะเบียนรถคืน รับใบเสร็จรับเงิน ใบคู่มือจดทะเบียนรถ เครื่องหมายการเสียภาษี และแผ่นป้ายทะเบียนรถ
เหล่านี้เป็นเอกสารและขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์โดยทั่วไป แต่ในความเป็นจริงเจ้าของรถหรือผู้ซื้อรถอาจจะไม่สะดวกมาดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ หรือไม่สามารถนัดเวลาว่างให้ตรงกันได้ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าการโอนลอยขึ้นมาเป็นการโอนที่ผู้ซื้อเป็นผู้ไปดำเนินขั้นตอนการโอนเอง ผู้ขายจะมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งเซ็นต์ชื่อในเอกสารที่ใช้ในการโอนให้ (ผู้ขายรับเงินจากผู้ซื้อแล้ว) โดยเอกสารที่ใช้ในการโอนลอยจะเป็นเอกสารทางฝั่งของผู้ขาย คือ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ ใบมอบอำนาจจากกรมขนส่งโดยเจ้าของรถจะต้องเซ็นต์ชื่อในเอกสารนั้น เอกสารการโอนรถของกรมขนส่งที่เจ้าของรถเซ็นต์ชื่อในช่องผู้โอน และสุดท้ายคือทะเบียนรถคันที่จะทำการโอน
สำหรับการโอนลอยมีข้อควรระวังคือ การที่ผู้ซื้อยังไม่ไปทำเรื่องโอนให้เสร็จแล้วนำรถไปขับขี่จนเกิดอุบัติเหตุ ถ้ามีการสืบจนพบว่าเป็นฝ่ายผิด กฎหมายจะดำเนินการกับผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถซึ่งก็คือผู้ขายที่ไม่ได้ไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ หรือในกรณีผู้ซื้อที่รับเรื่องว่าจะไปโอนกรรมสิทธิ์แต่ยังไม่ไปดำเนินการจนเอกสารหมดอายุก็จะต้องมาดำเนินการโอนใหม่อีก ทางเลือกสำหรับการโอนลอยคือควรเป็นบุคคลที่รู้จักกันหรือตรวจสอบภูมิลำเนา สถานที่ทำงานได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ควรไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถให้เสร็จด้วยตนเองจะเป็นการดีกว่า