หลายๆ ท่านที่เคยผ่านการทำประกันไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือประกันทรัพย์สินก็ตาม มักจะคุ้นเคยหรือได้ยินคำว่า เบี้ย ประกันภัย ซึ่งความหมายของ เบี้ยประกันภัย ก็คือ จำนวนเงินที่เราซื้อประกันนั่นเอง แม้ว่าความหมายของคำว่าเบี้ยประกันจะไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก แต่รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเบี้ยประกันภัยนั้นค่อนข้างมีมาก ซึ่งในกรณีนี้จะกล่าวถึง เบี้ยประกันรถยนต์ เป็นหลัก
การซื้อประกันภัยรถยนต์ก็เปรียบเสมือนการซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง เช่น ถ้าเราต้องการกระเป๋าสักใบ เราก็เข้าไปเลือกซื้อใบที่ชอบและทำการชำระเงิน เราก็จะได้กระเป๋าใบนั้นมาไว้ใช้งานตามที่เราต้องการ แต่ในส่วนของประกันรถยนต์เมื่อเราเลือกชนิดของประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับตัวของเรา เมื่อชำระเงินครบหรือชำระตามเงื่อนไขที่บริษัทแจ้งไว้ (เช่น ผ่อนชำระเป็นจำนวนงวดที่ตกลงกัน) เราก็จะได้เป็นเจ้าของประกันรถยนต์นั้นซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ รถของเราจะได้รับความคุ้มครองจากประกันในทันทีจนกระทั่งถึงวันที่ระบุว่าประกันหมดอายุ โดยประกันรถยนต์เองก็มีให้เลือกหลายแบบ เช่น ประกันชั้น 1 2 หรือ 3 ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มชนิดอีกเป็น 2+(2บวก) หรือ 3+ (3บวก) ก็ได้ และในแต่ละบริษัทก็จะมีการแบ่งย่อยออกได้อีกในอนาคตหรือตามแผนธุรกิจที่บริษัทนั้นจะทำออกมา
ถึงแม้ว่า” ประกันรถยนต์ ” จะเป็นประกันชั้น 1 เหมือนกันแต่ละบริษัทก็มีราคาค่าเบี้ยประกันต่างกัน บางบริษัทอาจจะค่าเบี้ยสูงกว่า หรือบางบริษัทอาจจะถูกที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ซึ่งในส่วนค่าเบี้ยที่แตกต่างกันนี้ เปรียบเสมือนสินค้ากระเป๋าใช้งานแบบเดียวกัน แต่ละผู้ผลิตก็มีกรรมวิธีในการผลิตและที่มาแตกต่างกันจึงตั้งราคาขายไว้ไม่เท่ากัน เมื่อเทียบกับประกันภัยรถยนต์ค่าเบี้ยประกันจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ราคาของรถยนต์ที่ทำประกัน จำนวนปีนับตั้งแต่ผลิต ทุนประกันภัยที่บริษัทประกันจะต้องชดเชยให้กรณีรถยนต์เสียหายจนไม่อาจซ่อมแซมได้ วิธีการทำงานของตัวแทนประกันเมื่อออกมาพบลูกค้าที่เกิดอุบัติเหตุ ความยุ่งยากในการทำเรื่องเคลมเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือภัยต่อตัวรถ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นข้อพิจารณาสำหรับเปรียบเทียบราคาค่าเบี้ยประกันภัยที่เกิดจากประกันประเภทเหมือนกันแต่ต่างบริษัทกัน ยกตัวอย่างเช่น รถที่มีมูลค่า 2 ล้านบาทเมื่อทำประกันย่อมต้องมีค่าเบี้ยประกันมากกว่ารถที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท เป็นต้น
ในการคิดค่า เบี้ยประกันภัยรถยนต์ ของแต่ละบริษัทจะมีหลักการและแนวทางคล้ายๆ กัน แต่ราคาค่าเบี้ยที่ออกมาจะไม่เท่ากันตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นผู้ที่มีความประสงค์ต้องการจะทำประกันภัยรถยนต์ควรศึกษาให้เข้าใจดีเสียก่อน หรือวิธีการที่ดีที่สุดคือสอบถามจากบริษัทประกัน หรือโบรกเกอร์ประกันให้เข้าใจดีเสียก่อนจึงค่อยทำการ “ซื้อ” ประกันรถยนต์ พึงระลึกไว้เสมอว่าของแพงใช่ว่าจะดีหรือของไม่ดีใช่ว่าจะไม่แพงเสมอไป
เป็นอย่างไร หวังว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆชาวอีซี่อินชัวร์โบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ทุกคนนะครับ อ่านเถอะ ได้ประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น