โดยทั่วไปความคิดเกี่ยวกับ การทำประกันภัยรถยนต์ มักจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการทำประกันเลย ก็จะมองว่าเป็นการเสียเงินทองไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนในกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากประกันก็จะมองว่าประกันเป็นสิ่งจำเป็น เหล่านี้ไม่สามารถบังคับให้แต่ละคนคิดเหมือนกันได้ ถ้ามองให้แคบเข้ามาสักหน่อยในเรื่องของ ประกันรถยนต์ ถ้าผู้ขับขี่ไม่เคยขับรถชนใคร หรือไม่เคยนำรถเข้าไปเคลมใดๆ เลย ก็อาจจะมองว่าการทำประกันรถยนต์เป็นเรื่องสิ้นเปลือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของผู้ที่นานๆ จะขับรถสักที จึงเกิดคำถามต่อมาว่า ควรจะทำประกันรถดีมั้ย คำตอบคือควรจะทำประกันไว้ดีกว่า
จอดรถที่บ้านแล้วไม่ได้ขับ นานๆจะขับรถที แบบนี้ทำประกันคุ้มไหม
ถ้าวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า ผู้ขับขี่ที่นานๆ ขับรถสักที จะมีประสบการณ์บนท้องถนน การระมัดระวัง หรือความสามารถในการขับที่ด้อยกว่าผู้ที่ขับขี่บ่อยๆ ดังนั้นการสรุปว่านานๆ ขับรถสักทีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าและไม่จำเป็นต้องทำประกันน่าจะเป็นความเชื่อที่ผิด ซึ่งในปัจจุบันประกันภัยมีหลากหลายชนิดให้เลือก อีกทั้งผู้ซื้อประกันสามารถหาข้อมูลได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงตัวแทนประกันภัยที่มีมาให้เลือกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทจะมีความเหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยชั้น 1 ที่มีราคาสูงกว่าแต่ครอบคลุมการคุ้มครองทุกประเภท หรือกรณีที่นานๆ จะขับรถสักที อาจจะพิจารณาซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 ซึ่งจะครอบคลุมการชดใช้ความเสียหายเฉพาะกับคู่กรณี และมีราคาที่ย่อมเยากว่า สรุปได้ง่ายๆ ว่า ความคุ้มครองมากหรือน้อยขึ้นกับจำนวนเงินที่จ่ายไป
การเลือกทำ ประกันภัยรถยนต์ ประเภทต่างๆ ผู้ซื้อสามารถพิจารณาเลือกจากหลายๆ ปัจจัย เช่น ราคา พฤติกรรมการขับขี่ เงื่อนไขหรือ รายละเอียดในการคุ้มครอง ต่างๆ แต่ถึงกระนั้นการทำประกันมิได้หมายถึงว่าเมื่อทำประกันแล้วจะไม่เกิดอุบัติใดๆ ทั้งสิ้น
ประกันภัยรถยนต์ เป็นเพียงการรับประกันว่าเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจะมี บริษัทประกันภัย คุ้มครองตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น และถ้าผู้ซื้อประกันมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยระมัดระวังและเป็นฝ่ายผิดบ่อยครั้ง บริษัทประกันภัยก็จะเพิ่มเบี้ยประกันในปีต่อๆ ไป ซึ่งไม่ได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทำประกันทั้งสิ้น ในทางกลับกันถ้าผู้ขับขี่มีพฤติกรรมที่ดีคือไม่ขับรถเกิดอุบัติเหตุ หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ได้เป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันก็จะปรับลดเบี้ยประกันลงเมื่อมีการต่อประกันในแต่ละปีอีกด้วย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการทำประกันก็ไม่สามารถวัดความคุ้มค่าได้โดยตรง ไม่ว่าจะนานๆ ขับที หรือขับบ่อยๆ ก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเคารพในกฎจราจร และเพิ่มความระมัดระวังในขณะขับขี่เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุให้เหลือน้อยที่สุดต่างหาก คือสิ่งที่ควรปฏิบัติ ทีนี้เห็นหรือยังว่า ประกันภัยรถยนต์ นั้นมีความสำคัญขนาดไหน