ทันทีที่ออกรถมาใหม่ นอกจากเรื่องของประกัน เรื่องของทะเบียนหรือชุดแต่งต่างๆ ก็มีเรื่องการติดฟิล์มนี่แหละที่ทำให้เกิดคำถามกับเจ้าของรถมือใหม่ทุกคน เพราะแต่ละศูนย์รถก็แนะนำไม่เคยเหมือนกันเลย บางที่ก็บอกให้ติดบางเพราะมองไม่เห็น แต่บางที่ก็บอกให้ติดหน้าจะได้ไม่ร้อน เป็นต้น พอติดตามคำแนะนำของศูนย์รถมาแล้ว ขณะใช้งานมันไม่ได้ตามความต้องการจริงๆ จะไปรื้อและติดใหม่ก็เสียดายทั้งเงินและเวลา งั้นถ้ารู้ตั้งแต่ต้นว่าควรจะติดฟิล์มแบบไหนให้เหมาะกับตัวเองและรถไม่กลายเป็นเตาอบ ก็น่าจะดีกว่านะ จริงไหม
ติดฟิล์มยังไง ไม่ให้รถยนต์กลายเป็นเตาอบ
ฟิล์มกรองแสงที่ติดกระจกรถยนต์ในบ้านเราจะแบ่งหลักๆ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ฟิล์ม 40% (ฟิล์มใส แสงสามารถผ่านเข้าไปในตัวรถได้ 40-50%) ฟิล์ม 60% (ฟิล์มที่แสงสามารถผ่านเข้าไปในรถได้ 20%) และฟิล์ม 80% (ฟิล์มที่มีความเข้มมากที่สุด ยอมให้แสงผ่านได้เพียง 5%) นอกจากระดับความเข้มของฟิล์มแล้ว แต่ละยี่ห้อก็ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ฉาบปรอท มีนวัตกรรมกรองความร้อน เป็นต้น
การติดฟิล์มที่กระจกรถต้องแบ่งการติดแต่ละส่วนให้แยกออกจากกัน คือ กระจกบานหน้าติดแบบหนึ่ง และกระจกข้างติดอีกแบบหนึ่งได้ ส่วนมากกระจกบานหน้าและบานหลังเป็นจุดที่ต้องสะดวกต่อการมองเห็น ซึ่งต้องมองเห็นได้ง่ายทั้งกลางวันและกลางคืน จึงไม่แนะนำให้ติดฟิล์มตัวที่มีความเข้มสูงนัก เพราะตอนที่เราติดฟิล์มตอนกลางวัน เราอาจจะคิดว่ามองเห็นสบายมาก ดังนั้นก็ต้องคิดเผื่อตอนกลางคืนเอาไว้ด้วย เมื่อเป็นกระจกด้านข้าง เราสามารถติดฟิล์มในระดับหนาที่สุดยังได้เลย แต่ต้องปรับระดับให้จางลงตรงจุดที่ต้องดูกระจกมองข้างด้วยนะ ฟิล์มที่กระจกข้างตรงประตูนั้นค่อนข้างสำคัญ เพราะรถจะร้อนมากหรือน้อยก็อยู่ที่ตัวฟิล์มนี่แหละ ถ้าติดบางเกินไป แสงและความร้อนจะส่องผ่านเข้าไปด้านในตัวรถจนร้อนระอุ ซึ่งไม่ได้ส่งผลเสียแค่กับผู้โดยสารเท่านั้น อุปกรณ์ต่างๆ ก็จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วด้วย
นอกจากระดับความเข้มของฟิล์มแล้ว ก็มีเรื่องของการกันความร้อน และอายุการใช้งานที่ต้องใส่ใจด้วย เพราะการติดฟิล์มที่เหมาะสมจะปกป้องทั้งตัวเราและทั้งตัวรถได้อย่างดี ที่สำคัญอย่าลืมว่าต้องเลือกทีมช่างที่ทำการติดตั้งที่เชี่ยวชาญและมีคุณภาพด้วย ไม่งั้นฟิล์มก็จะเกิดความเสียหายก่อนเวลาอันควรได้อยู่ดี เพื่อให้ได้ทั้งประโยชน์ต่อการใช้งานและความสวยงามที่ส่งผลดีต่อใจ
ขอบคุณภาพจาก perfectshine.co.th
