### **1. ยางรถยนต์ 🛞**
ยางคือจุดสัมผัสเดียวของรถกับพื้นถนน หากยางหมดดอกหรือมีร่องลึกน้อย จะทำให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลง เสี่ยงเกิดอาการลื่นไถลในขณะฝนตกหนัก
**สิ่งที่ควรทำ:**
* ตรวจสอบความลึกของดอกยาง (ควรไม่น้อยกว่า 2 มม.)
* เช็คลมยางให้ถูกต้องตามสเปคที่ระบุบนขอบประตูรถฝั่งคนขับ
* สลับยางทุก 8,000–10,000 กม. หรือทุกครั้งที่เข้าเช็กระยะ เพื่อกระจายการสึกหรออย่างสม่ำเสมอ
**เคล็ดลับ:** ถ้ายางมีรอยแตก ร่องยางตื้น หรือใช้งานเกิน 3–4 ปี ควรเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัย
### **2. ใบปัดน้ำฝน 🌧️🧽**
ใบปัดน้ำฝนเป็นตัวช่วยให้มองเห็นชัดเจนเมื่อฝนตก หากยางของใบปัดแข็ง เสื่อมหรือปัดไม่สะอาด อาจทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
**สิ่งที่ควรทำ:**
* ตรวจสอบการปัดน้ำฝน ถ้าปัดแล้วมีคราบน้ำหรือเกิดเสียงดัง แปลว่าควรเปลี่ยน
* หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดจัด เพราะความร้อนจะทำให้ยางใบปัดเสื่อมสภาพเร็ว
* ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนทุก 6–12 เดือน หรือเมื่อสภาพยางเริ่มแข็งและแตกร้าว
### **3. ผ้าเบรกและระบบเบรก 🛑**
ช่วงฝนตก ประสิทธิภาพการเบรกจะลดลง เพราะผ้าเบรกอาจเปียกหรือสึกหรอ หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจเช็ก อาจทำให้เบรกไม่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
**สิ่งที่ควรทำ:**
* สังเกตเสียงเบรก ถ้ามีเสียงดัง “เอี๊ยด” หรือเหยียบเบรกแล้วลึกผิดปกติ ควรนำเข้าศูนย์ตรวจสอบ
* เปลี่ยนผ้าเบรกตามระยะที่ศูนย์บริการแนะนำ หรือเมื่อเหลือน้อยกว่า 3 มม.
* ตรวจเช็กน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
### **4. น้ำมันเครื่องและของเหลวต่าง ๆ 🛢️**
ในหน้าฝน ควรตรวจเช็กของเหลวในรถทั้งหมด เพราะความชื้นและการใช้งานหนักอาจทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
**สิ่งที่ควรทำ:**
* ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
* เติมน้ำยาฉีดกระจกให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ใบปัดทำงานได้ดี
* หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะ 5,000–10,000 กม. หรือทุก 6 เดือน
### **5. ระบบไฟส่องสว่าง 💡**
ช่วงฝนตกหนักและหมอกลง ไฟหน้ารถและไฟท้ายช่วยเพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัย
**สิ่งที่ควรทำ:**
* ตรวจสอบไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยวให้ติดครบทุกดวง
* ทำความสะอาดโคมไฟให้ใส ไม่หมอง เพื่อให้แสงสว่างชัดเจน
* หากไฟสว่างน้อย อาจเปลี่ยนหลอดไฟหรือฟิล์มหน้าโคม