เทคนิคขับรถในช่วงหน้าร้อนอย่างไรให้ปลอดภัย ตามสไตล์ อีซี่

# เทคนิคขับรถในช่วงหน้าร้อนอย่างไรให้ปลอดภัย ตามสไตล์ อีซี่

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนจัดโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียสในบางวัน การขับรถในช่วงหน้าร้อนจึงมีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งกับตัวรถยนต์ คนขับ และผู้โดยสาร เพราะความร้อนสามารถทำลายระบบภายในรถยนต์ได้อย่างเงียบ ๆ จนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากหากไม่ระวัง

แม้ใครหลายคนจะนึกถึงเพียง “หน้าฝน” ว่าเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการขับขี่ แต่แท้จริงแล้ว **หน้าร้อนก็อันตรายไม่แพ้กัน** และต้องการการดูแลเอาใจใส่ไม่ยิ่งหย่อน ดังนั้น EasyInsure ขอพาทุกท่านไปเรียนรู้วิธีดูแลรถ และเทคนิคการขับรถในช่วงหน้าร้อนให้ปลอดภัยที่สุดในทุกเส้นทาง

## ความร้อนมีผลกระทบกับรถอย่างไรบ้าง?

ก่อนจะเข้าสู่เทคนิค เราควรเข้าใจก่อนว่า **”ความร้อน”** ส่งผลกระทบอะไรกับรถบ้าง:

1. **เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น**
เครื่องยนต์ต้องใช้กำลังในการระบายความร้อนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระบบภายในต้องรับภาระมากกว่าปกติ และเสี่ยงต่อความร้อนสะสมจนอาจทำให้เครื่องยนต์โอเวอร์ฮีต

2. **แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น**
อุณหภูมิสูงเป็นศัตรูกับแบตเตอรี่โดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้ของเหลวภายในแบตระเหยเร็วขึ้น ทำให้แบตเสื่อมสภาพไว

3. **ยางรถเสี่ยงระเบิดจากแรงดันที่เพิ่มขึ้น**
ยางที่ร้อนจัดจะเกิดแรงดันภายในสูง หากเติมลมยางเกินไป ยางอาจระเบิดได้โดยเฉพาะเวลาใช้งานบนถนนที่ร้อนระอุ

4. **ห้องโดยสารร้อนจัด เสี่ยงต่อสุขภาพ**
ผู้โดยสารโดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะฮีทสโตรก หากอยู่ในรถที่จอดตากแดดโดยไม่มีการระบายอากาศ

## เทคนิคที่ 1: หมั่นจอดพักรถเป็นระยะ เพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์

เมื่อขับขี่ในสภาพอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะการเดินทางไกล สิ่งสำคัญคือ **การพักรถทุกระยะทางประมาณ 100–150 กิโลเมตร** หรือทุก 1.5–2 ชั่วโมง

* ควรจอดรถในที่ร่มหรือข้างทางที่ปลอดภัย
* หลังจากดับเครื่องแล้ว ให้ **เปิดฝากระโปรงหน้ารถ** เพื่อให้ไอร้อนระบายออกจากห้องเครื่องได้เร็วขึ้น
* อย่าเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่ยังร้อนเด็ดขาด เพราะอาจมีไอน้ำแรงดันสูงพุ่งออกมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บ

ขณะจอดรถพัก ควรพักร่างกายคนขับด้วย เพราะความร้อนอาจทำให้เหนื่อยล้าและมีอาการวิงเวียน ทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง

## เทคนิคที่ 2: อย่าเร่งแอร์ทันที ควรไล่ความร้อนในห้องโดยสารก่อน

หลายคนมีพฤติกรรมเข้าไปในรถแล้วเร่งแอร์แรงสุดเพื่อให้เย็นไว แต่ในความเป็นจริง วิธีนี้ทำให้ **ระบบปรับอากาศทำงานหนักเกินไป** และอาจเสื่อมเร็วกว่าที่ควร

วิธีที่ถูกต้องคือ:

* เมื่อขึ้นรถ ให้ **เปิดกระจกทุกบานทิ้งไว้ประมาณ 1–2 นาที** เพื่อให้ความร้อนที่สะสมในรถถูกระบายออก
* จากนั้นค่อย **เปิดแอร์ที่ระดับต่ำหรือปานกลางก่อน** ไม่ควรเปิดแอร์เบอร์แรงสุดทันที
* เมื่ออุณหภูมิเริ่มเย็นลง จึงค่อยปิดกระจกให้สนิท

การทำแบบนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบแอร์ และยังทำให้การเดินทางเย็นสบายขึ้นโดยไม่เปลืองพลังงาน

## เทคนิคที่ 3: ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่เป็นประจำ

หน้าร้อนคือช่วงที่แบตเตอรี่เสื่อมเร็วที่สุด เพราะอุณหภูมิสูงส่งผลให้ของเหลวในแบตระเหยเร็วขึ้น และแผ่นตะกั่วภายในแบตอาจเสียหายจากความร้อนสะสม

สิ่งที่ควรทำ ได้แก่:

* ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ว่า **มีอาการบวม หรือมีรอยรั่วหรือไม่**
* หากเป็นแบตน้ำ ควรตรวจดูระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
* ตรวจสอบสายไฟภายในห้องเครื่องว่า **มีรอยไหม้ ฉนวนหลุด หรือเสื่อมหรือไม่**
* หากได้กลิ่นไหม้หรือพบอุปกรณ์ใดผิดปกติ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็กทันที

## เทคนิคที่ 4: ดูแลระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์อย่างใกล้ชิด

เครื่องยนต์ในรถต้องมีระบบระบายความร้อนที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์อาจเกิดอาการ **โอเวอร์ฮีต (Overheat)** ซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง

สิ่งที่ควรตรวจเช็ก:

* ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ และหม้อพักน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
* เช็กว่า **ไม่มีคราบสนิม หรือสิ่งสกปรกในน้ำหม้อน้ำ** เพราะอาจทำให้ท่ออุดตัน
* ตรวจสอบพัดลมหม้อน้ำว่า **หมุนตามปกติ ไม่มีเสียงผิดปกติ**
* หากต้องเติมน้ำ ให้ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำสะอาด ไม่ควรใช้น้ำประปาที่มีคราบตะกรัน

หมั่นเปลี่ยนน้ำหล่อเย็นตามระยะทางที่กำหนด โดยทั่วไปอยู่ที่ทุก 40,000–50,000 กิโลเมตร

## เทคนิคที่ 5: ป้องกันห้องโดยสารร้อนเกินไป

แสงแดดและความร้อนที่ตกกระทบกระจกโดยตรงจะทำให้ภายในห้องโดยสารมีอุณหภูมิสูงเกิน 60–70 องศาได้ง่าย ๆ ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้คนอยู่ในรถรู้สึกร้อนจัด แต่ยังทำให้วัสดุภายใน เช่น เบาะหนัง แผงคอนโซล หรือจอระบบสัมผัส เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

สิ่งที่สามารถทำได้ เช่น:

* **ติดแผ่นกันแดดบนกระจกหน้าและกระจกข้าง** ช่วยสะท้อนแสงและลดการสะสมความร้อน
* **ติดฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูง** ที่สามารถกรองรังสี UV และอินฟราเรด ซึ่งเป็นต้นเหตุของความร้อนและการซีดจาง
* หากจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรใช้ **ผ้าคลุมพวงมาลัยหรือเบาะนั่ง** เพื่อป้องกันไม่ให้วัสดุพังจากความร้อนสะสม

## เทคนิคที่ 6: หมั่นตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ

เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดมีผลกระทบกับทุกระบบในรถ การตรวจสภาพรถจึงควรทำอย่างสม่ำเสมอมากกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงก่อนออกเดินทางไกล

รายการที่ควรตรวจเช็ก ได้แก่:

* น้ำมันเครื่อง
* น้ำมันเบรก
* น้ำมันเกียร์
* ลมยางและสภาพหน้ายาง (อย่าเติมลมเกินขนาด เพราะความร้อนจะทำให้ยางขยายตัวเพิ่ม)
* ระบบแอร์ และท่อน้ำยาแอร์
* ระบบเบรก และช่วงล่าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *