# ผู้เอาประกันไม่ใช่ผู้ขับขี่ ประกันภัยรถยนต์ยังคุ้มครองหรือไม่?
ในกรณีที่มีการทำประกันภัยรถยนต์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยภาคสมัครใจประเภทใดก็ตาม หากวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น และพบว่าผู้ขับขี่ในขณะเกิดเหตุนั้น ไม่ใช่บุคคลเดียวกับผู้เอาประกันที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ คำถามหลักที่มักเกิดขึ้นคือ บริษัทประกันภัยจะยังให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขในกรมธรรม์หรือไม่ และหากให้ความคุ้มครอง จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือข้อจำกัดใดที่เกี่ยวข้องหรือไม่
## ความหมายของ “ผู้เอาประกันภัย” และ “ผู้ขับขี่”
ผู้เอาประกันภัย คือ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกัน โดยมีสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ในทางกฎหมาย ผู้เอาประกันอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของรถโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ ผู้เอาประกันมักเป็นเจ้าของรถหรือผู้ที่มีสิทธิครอบครองรถคันนั้น
ผู้ขับขี่ คือ บุคคลที่ทำหน้าที่ขับรถยนต์ ณ ขณะเกิดเหตุ อาจเป็นเจ้าของรถ ผู้เอาประกัน หรือบุคคลอื่นก็ได้ โดยอาจได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากเจ้าของรถหรือผู้เอาประกันในการใช้รถคันนั้น
## การคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ผูกกับ “ตัวรถ” ไม่ใช่ “ตัวบุคคล”
หลักการทั่วไปของประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ การคุ้มครองความเสียหายจะผูกอยู่กับรถยนต์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ไม่ได้ผูกกับตัวบุคคลผู้เอาประกันโดยตรง นั่นหมายความว่า แม้ผู้ขับขี่ในขณะเกิดเหตุจะไม่ใช่ผู้เอาประกัน ประกันภัยยังคงให้ความคุ้มครองอยู่ ตราบใดที่รถคันนั้นอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์ที่ยังไม่หมดอายุ และผู้ขับขี่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของกรมธรรม์
## เงื่อนไขการคุ้มครองเมื่อผู้ขับขี่ไม่ใช่ผู้เอาประกัน
1. **ผู้ขับขี่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของรถหรือผู้เอาประกันในการใช้รถ**
* หากเป็นการขับโดยพลการ ขโมย หรือใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม บริษัทประกันมีสิทธิ์ปฏิเสธความคุ้มครองโดยสิ้นเชิง
2. **ผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่ถูกต้องตามกฎหมาย**
* หากไม่มีใบขับขี่ หรือใช้ใบขับขี่ผิดประเภท เช่น ใบขับขี่หมดอายุ หรือขับรถประเภทที่ไม่ได้รับอนุญาตตามประเภทใบอนุญาต บริษัทประกันสามารถปฏิเสธการชดใช้ได้
3. **รถยนต์ต้องไม่ได้ใช้งานนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตามที่ระบุในกรมธรรม์**
* ตัวอย่างเช่น หากระบุว่ารถใช้เพื่อการส่วนตัว แต่ใช้เพื่อขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์ในขณะเกิดเหตุ อาจไม่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครอง
## ค่าใช้จ่ายกรณีผู้ขับขี่ไม่ตรงกับชื่อในกรมธรรม์
แม้ประกันภัยจะยังคงให้ความคุ้มครอง แต่หากผู้ขับขี่ไม่ใช่ผู้เอาประกัน และไม่มีการระบุชื่อผู้ขับขี่ไว้ล่วงหน้าในกรมธรรม์ บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกเพิ่มขึ้นจากกรณีทั่วไป โดยมีรายละเอียดดังนี้:
* **กรณีผู้ขับขี่เป็นฝ่ายผิด**
* บริษัทประกันจะรับผิดชอบชดเชยความเสียหายให้แก่คู่กรณีตามปกติ
* ผู้เอาประกันต้องจ่าย:
* ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess) ประมาณ 2,000 บาท
* ค่าผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ กรณีชื่อผู้ขับขี่ไม่ตรงกับในเอกสาร 6,000 บาท
* รวมทั้งสิ้น 8,000 บาท ก่อนการเคลมจะดำเนินการต่อไป
* **กรณีผู้ขับขี่เป็นฝ่ายถูก**
* บริษัทประกันจะยังคงชดเชยความเสียหายให้แก่รถผู้เอาประกันภัย
* ผู้เอาประกันต้องจ่าย:
* ค่าผิดเงื่อนไขเนื่องจากผู้ขับขี่ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ประมาณ 2,000 บาท
## ประเภทกรมธรรม์ที่มีผลต่อความคุ้มครองในกรณีผู้ขับขี่ไม่ตรงกับผู้เอาประกัน
### 1. ประกันภัยแบบ **ไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่**
* เป็นรูปแบบที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขับขี่ทุกคนที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน
* เหมาะสำหรับรถที่มีการใช้งานร่วมกันหลายคน เช่น รถครอบครัว รถบริษัท หรือกรณีที่มีการเปลี่ยนมือผู้ขับบ่อย
* ค่าเบี้ยประกันจะสูงกว่าประกันแบบระบุชื่อ
* ไม่มีการจำกัดชื่อผู้ขับขี่ แต่ยังคงต้องมีใบขับขี่และใช้รถอย่างถูกประเภท
### 2. ประกันภัยแบบ **ระบุชื่อผู้ขับขี่**
* เหมาะกับรถที่มีผู้ขับประจำไม่เกิน 1–2 คน
* ต้องระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ไว้ในกรมธรรม์อย่างชัดเจน
* จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันตามอายุและประสบการณ์ขับขี่
* หากเกิดอุบัติเหตุขณะมีผู้ที่ไม่ได้ระบุชื่อในกรมธรรม์เป็นผู้ขับขี่ จะไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมได้ หรืออาจต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมดด้วยตนเอง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกัน
## กรณีรถมีการเปลี่ยนเจ้าของหลังจากทำประกันไว้
หากรถยนต์ถูกขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้บุคคลอื่น แต่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้เอาประกันในกรมธรรม์ ความคุ้มครองของประกันภัยเดิมยังมีผลอยู่จนกว่ากรมธรรม์จะสิ้นสุดอายุ โดยมีเงื่อนไขว่า:
* เจ้าของใหม่ต้องมีใบขับขี่ถูกต้อง
* การใช้รถต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เดิม
* หากเกิดเหตุ ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกตามปกติ และอาจมีค่าผิดเงื่อนไขเพิ่มเติมเช่นเดียวกันกับกรณีผู้ขับไม่ตรงกับผู้เอาประกัน