พฤติกรรมการขับขี่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนถนนในประเทศไทย ปี 2568
แม้ประเทศไทยจะมีมาตรการควบคุมและรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาอุบัติเหตุจราจรยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลในปี 2568 พบว่าพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถจำแนกออกมาได้เป็นกลุ่ม ๆ ดังนี้
การขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ยังคงเป็นพฤติกรรมที่พบมากที่สุดและส่งผลต่อความรุนแรงของอุบัติเหตุโดยตรง การขับด้วยความเร็วสูงทำให้ระยะเบรกสั้นลงและลดเวลาการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่ที่มีนิสัยเร่งรีบ ไม่เผื่อเวลาเดินทางมักจะตกอยู่ในกลุ่มนี้ ยิ่งเมื่อรวมกับสภาพถนนที่ไม่เอื้ออำนวย หรือการจราจรที่หนาแน่น ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุแบบรุนแรงถึงชีวิต
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับ เป็นพฤติกรรมที่ยังฝังลึกในวัฒนธรรมของสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลอง แม้จะมีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ทั่วประเทศ แต่ผู้ฝ่าฝืนก็ยังมีจำนวนมาก ผู้ที่ดื่มสุราแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสูญเสียสมาธิและการตัดสินใจได้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการชนทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเพียงพอ
อีกหนึ่งพฤติกรรมเสี่ยงคือการตัดหน้ากระชั้นชิด โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและรถติดบ่อยครั้ง ผู้ขับขี่บางรายเลือกที่จะเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหันหรือแทรกช่องทางโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนและผู้อื่น การกระทำเช่นนี้มักทำให้รถคันอื่นไม่สามารถเบรกได้ทันจนเกิดการชนท้ายหรือเฉี่ยวชนที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในหลายกรณี
การไม่คาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่สวมหมวกกันน็อกก็เป็นอีกพฤติกรรมที่มักถูกมองข้าม ผู้ขับขี่จำนวนมากยังเชื่อว่าหากเดินทางในระยะใกล้ ๆ หรือใช้เส้นทางที่คุ้นเคย จะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุไม่ได้เลือกเวลาและสถานที่ การละเลยอุปกรณ์ป้องกันจึงส่งผลต่อระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตโดยตรง ซึ่งจากข้อมูลปี 2568 พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ในกลุ่มจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย
การหลับในเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับรถทางไกล เช่น รถโดยสารประจำทางหรือรถบรรทุก พฤติกรรมนี้มักเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่มีการหยุดพัก ทำให้สติสัมปชัญญะลดลงอย่างมาก ซึ่งหากเกิดหลับในแม้เพียงไม่กี่วินาทีก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ทันที
พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ โดยเฉพาะการพิมพ์ข้อความหรือใช้แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย ขัดขวางการโฟกัสของผู้ขับขี่อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีการออกกฎหมายควบคุมและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่การละเมิดก็ยังคงเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่มีความเคยชินกับการใช้อุปกรณ์สื่อสารตลอดเวลา
การฝ่าสัญญาณไฟจราจร การไม่เคารพป้ายเตือนต่าง ๆ หรือการไม่ให้ทางขณะขับขี่ เป็นพฤติกรรมที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ส่งผลต่อความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างมาก ผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งมักเห็นว่าการหยุดรอสัญญาณไฟเป็นเรื่องเสียเวลา จึงเลือกที่จะฝ่าไฟแดง ซึ่งหากเกิดการชนบริเวณแยกมักจะเป็นอุบัติเหตุรุนแรง
อีกพฤติกรรมที่อันตรายมากคือการเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว หรือเลี้ยวกระทันหันโดยไม่ดูสภาพการจราจรรอบข้าง การกระทำเหล่านี้ทำให้รถคันอื่นไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวได้ทัน และเกิดการเฉี่ยวชนบ่อยครั้งโดยเฉพาะในช่วงที่มีรถหนาแน่น
ในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล พฤติกรรมขับขี่โดยไม่มีใบขับขี่หรือขาดความชำนาญยังคงพบได้อยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนหรือผู้ที่เพิ่งหัดขับ ซึ่งไม่ได้รับการอบรมหรือฝึกฝนอย่างถูกต้อง การไม่เข้าใจหลักการขับขี่อย่างปลอดภัยทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี และมักตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
สุดท้ายคือปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เช่น ทัศนวิสัยไม่ดีจากฝนตกหนัก หมอก หรือเส้นทางที่ไม่มีไฟส่องสว่าง ซึ่งหากผู้ขับขี่ไม่ลดความเร็วหรือไม่เพิ่มความระมัดระวังก็จะเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นอย่างมาก