คำถามนี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยกันค่ะ เพราะรถยนต์ที่มีอายุเกิน 10 ปีนั้น มักจะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น และบางบริษัทอาจมีข้อจำกัดในการให้ความคุ้มครองบางประเภท
มาดูข้อดีข้อเสียของการทำประกันแต่ละประเภทสำหรับรถยนต์อายุเกิน 10 ปีกันค่ะ
ทำประกันชั้น 1
- ข้อดี: คุ้มครองเต็มรูปแบบ ครอบคลุมทั้งความเสียหายต่อรถคุณและบุคคลที่สาม รวมถึงความเสียหายที่ไม่มีคู่กรณี การชน ไฟไหม้ หรือสูญหาย
- ข้อเสีย: ค่าเบี้ยสูง และบริษัทประกันบางแห่งอาจไม่รับประกันชั้น 1 สำหรับรถที่อายุมากกว่า 10 ปี หรืออาจมีการตรวจสภาพรถที่เข้มงวด
ประกันชั้น 2+
- ข้อดี: คุ้มครองกรณีชนกับรถคู่กรณี สูญหาย หรือไฟไหม้ แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากการชนแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนกับสิ่งของหรือเกิดอุบัติเหตุเอง
- เหมาะกับ: รถกระบะที่ใช้งานหนักและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเฉพาะกรณีชนกับรถคันอื่น แต่ไม่กังวลเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดเอง
- ข้อเสีย: ไม่ครอบคลุมทุกกรณีเหมือนประกันชั้น 1
ประกันชั้น 3+
- ข้อดี: ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 และ 2+ แต่ยังคงคุ้มครองความเสียหายต่อรถคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุการชนและความเสียหายต่อตัวรถคุณเองในกรณีที่ชนกับรถคันอื่น
- เหมาะกับ: รถกระบะที่ใช้งานเป็นประจำ แต่ต้องการลดค่าเบี้ยประกัน และมีความเสี่ยงต่ำในการชนกับสิ่งของหรือเกิดอุบัติเหตุเอง
- ข้อเสีย: ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุไม่มีคู่กรณี
ประกันชั้น 3
ข้อดี: ประหยัดค่าเบี้ยประกันที่สุด คุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อบุคคลที่สามในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดกับรถของคุณเอง
เหมาะกับ: รถกระบะที่ใช้งานไม่หนักหรือมีมูลค่าต่ำ และคุณสามารถรับผิดชอบค่าซ่อมรถของตัวเองได้หากเกิดอุบัติเหตุ
ข้อเสีย: ไม่มีการคุ้มครองรถของคุณเลยในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกประเภทประกัน
- งบประมาณ: ควรพิจารณาว่าเรามีงบประมาณเท่าไหร่ในการทำประกัน
- สภาพรถ: ถ้ารถอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี อาจพิจารณาทำประกันชั้น 1 แต่ถ้าสภาพรถไม่ค่อยดี อาจเลือกประกันชั้นที่ต่ำกว่า
- ความถี่ในการใช้งาน: ถ้าใช้รถบ่อยและในเส้นทางที่ค่อนข้างเสี่ยง อาจพิจารณาทำประกันชั้นที่สูงขึ้น
- ความคุ้มครองที่ต้องการ: เลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา
สรุป
การเลือกทำประกันรถยนต์สำหรับรถอายุเกิน 10 ปี ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคล หากต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด ก็ควรเลือกประกันชั้น 1 แต่ถ้าต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน อาจพิจารณาประกันชั้น 2+ หรือ 3+
คำแนะนำเพิ่มเติม
- เปรียบเทียบราคาและความคุ้มครอง: ก่อนตัดสินใจทำประกัน ควรเปรียบเทียบราคาและความคุ้มครองของแต่ละบริษัทประกัน
- อ่านรายละเอียดกรมธรรม์: ควรอ่านรายละเอียดกรมธรรม์ให้เข้าใจก่อนทำสัญญา เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้รับความคุ้มครองที่ต้องการ
- ปรึกษาตัวแทนประกัน: การปรึกษาตัวแทนประกันจะช่วยให้เราเลือกประกันที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้มากขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกประกันที่ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปค่ะ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถาม easy insure ได้เลยนะคะ